พลิกโฉมวงการ Production เมืองไทยกับ Panasonic Lumix S1 ถ่ายวิดีโอ 4K แบบไร้ Noise !!

23/04/19
19 view(s)
พลิกโฉมวงการ Production เมืองไทยกับ Panasonic Lumix S1 ถ่ายวิดีโอ 4K แบบไร้ Noise !!

สร้างความฮือฮาไปไม่น้อยกับสุดยอดกล้อง Mirrorless Full Frame รุ่นแรกจากค่าย Panasonic กับ Lumix S1R และ Lumix S1 ซึ่งทั้ง 2 ตัวนี้จะอยู่ในซีรี่ส์ใหม่ที่เพิ่งแตกกิ่งก้านออกมาครับ เพราะเม้าท์เลนส์ของซีรี่ส์ S นี้ จะเป็น L เม้าท์ แต่ของ Lumix ตระกูลซีรี่ส์ G จะใช้ G เม้าท์ และยิ่ง L-mount ใหม่ตัวนี้ ก็ถูกพัฒนามาจาก 3 แบรนด์ชั้นนำระดับโลกในด้านกล้องและเลนส์อย่าง Panasonic, Leica และ Sigma ทำให้เอื้อต่อการดึงประสิทธิภาพของกล้องออกมาได้มากที่สุดนั่นเองครับ แต่วันนี้จะเป็นบทความเกี่ยวกับตัว Lumix S1 ครับ มาดูกันเลยดีกว่า ว่าจะเจ๋งจริงอย่างที่ว่าไหม

เริ่มกันที่ความประทับใจ หรือรักแรกพบกันก่อนเลยครับ! ดีไซน์ของ Panasonic Lumix S1R และ S1 นี้จะหน้าตาคล้ายๆกันครับ เหมือนกับเป็นแฝดพี่ แฝดน้อง
เท่าที่ได้ลองถือใช้งานมา S1 ถือว่าน้ำหนักกลางๆ ถ้าเทียบกับกล้องระดับโปรด้วยกัน แต่ที่รู้สึกต่างออกไปจากกล้องตัวอื่นๆ คือ ตัวกริปจับครับ กริปลึกมาก จากความรู้สึกน่าจะถือว่าเป็นกล้องที่ทำกริปลึกที่สุดเท่าที่เคยจับมา ทำให้ถือถนัดมือมากๆ
จะว่าไป ถ้าดูดีๆ ก็หน้าตาคล้ายกับรุ่นพี่อย่าง Lumix G9 อยู่นะครับ ยังคงดีไซน์ความเท่ สมาร์ต ของแบรนด์ได้อย่างดีเยี่ยม

Panasonic Lumix S1 เป็นกล้อง Mirrorless ที่ใช้เซ็นเซอร์ฟูลเฟรมรุ่นแรกที่ถูกปล่อยออกมาจากค่าย Panasonic ครับ มีความละเอียดอยู่ที่ 24.2 ล้านพิกเซลถือว่าคมชัดมากแล้วครับ สำหรับใครที่ไม่ได้ต้องการความละเอียดสูงมากๆระดับต้องถ่ายงานโฆษณา หรือเป็นตากล้องมืออาชีพจริงๆ และที่สำคัญเจ้า Lumix S1 นั้น ทีเด็ดไม่ได้อยู่ที่ภาพนิ่ง แต่เป็นในเรื่องของวิดีโอต่างหาก!! แต่ขออุ๊บไว้ก่อน ตามอ่านไปเรื่อยๆนะครับ

ตัวเม้าท์เลนส์ L เนื่องจากเป็นเม้าท์ใหม่ที่สามค่ายยักษ์ใหญ่ร่วมกันพัฒนาขึ้น ทำให้มีขนาดใหญ่ถึง 51.6 มิลลิเมตรครับ ซึ่งถือว่าใหญ่มาก ผนวกกับว่าเป็นเซ็นเซอร์ CMOS Full frame ด้วย เรื่องของ Dynamic Range นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย กว้างสุดๆ เก็บได้ครบทุกมุมเลย และ Flange Focal Distance หรือระยะตั้งแต่ตัวเม้าท์เลนส์จนถึงตัวเซ็นเซอร์จะมีระยะแค่ 20 มิลลิเมตร ด้วยตัวเลข FFD นี้เอง ทำให้การทำงานของระบบโฟกัสทำงานได้ดีและเร็วมากขึ้นนั่นเองครับ

มาถึงการจัดวางปุ่มต่างๆนั้น ส่วนใหญ่จะคล้ายกับตำแหน่งของตัวรุ่นพี่อย่าง Lumix G9 มากครับ เป็นกล้อง Mirrorless ที่มีปุ่มเลือกเมนูเยอะเหมือนกล้อง DSLR จริงๆ ทำให้การเลือกโหมด ปรับตั้งค่ากล้อง หรือการบังคับทิศทางโฟกัสนั้นง่ายมากๆ

มี Joystick มาให้ครับ สะดวกกับมาร์คจุดโฟกัส และย้ายจุดโฟกัสได้อย่างอิสระ

มองถัดมาซ้ายบนจะเป็นวงแหวนสำหรับเลือกปรับโหมดโฟกัส โดยตัว S คือ single focus, C คือ continuous focus และ MF คือ Manual Focus ครับ สามารถเลือกปรับได้ตามสถานการณ์เลย

เกือบลืมกิมมิคเล็กๆน้อยๆแต่เด็ดมากอย่างนึง ก็คือด้านบนของตัวกล้องมีจอ LCD ขนาดใหญ่ ที่แสดงข้อมูลของกล้องได้ครบถ้วนมากๆ ทั้งค่า ISO ค่าชดเชยแสง ชัตเตอร์สปีต ค่ารูรับแสง แบตเตอร์รี่ หรือแม้แต่สกุลไฟล์ที่ตั้งไว้อย่าง JPEG หรือ RAW ก็แสดงให้เห็นทั้งหมดในจอนี้จอเดียวเลยครับ

ปุ่ม Dial เลือกโหมดของเจ้า Lumix S1 ดูผ่านๆนี่นึกว่าของรุ่นพี่อย่าง Lumix G9 เลยครับ คือมีปุ่มล็อค Dial มาให้เหมือนเดิม จะปลดล็อคเพื่อเลือกโหมดก็แค่กดปุ่มตรงกลาง 1 ครั้ง ป้องกันการเผลอเลื่อนเปลี่ยนโหมดโดยไม่ตั้งใจนั่นเองครับ และตรงฐานของ Dial ก็เป็น Drive mode ซึ่งมีให้เลือกโหมดการถ่ายหลากหลายเช่นเคยครับ

ช่องมองภาพของตัวนี้ก็เป็นหนึ่งในทีเด็ดอยู่เหมือนกัน จะเป็นช่องมองภาพแบบ LVF หรือ Live View Finder โดยจะมีความละเอียดสูงถึง 5.76 ล้านจุด!! ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเท่าที่ Panasonic เคยทำกล้องออกมา ทำให้ ชัด เหมือนตาเห็นกันเลย และมีกำลังขยายอยู่ที่ 0.78 เท่า สามารถสลับไปเป็น 0.7 หรือ 0.74 เท่าได้ตามสถานการณ์ที่ถ่ายภาพตอนนั้นครับ

และด้านขวาของช่องมองภาพ ยังมีปุ่ม V.Mode มาให้ด้วย ซึ่งเราสามารถเลือก Refresh rate ได้ตามต้องการครับ มีให้เลือกแสดงระหว่าง 60 fps และ 120 fps สำหรับใครที่ต้องการดูเฟรมเรทเยอะๆ ในฟุตเทชที่ต้องถ่าย Slo-mo ก็เลือกเป็น 120 fps เพื่อการแสดงผลที่สมูธที่สุดครับ แต่ถ้าถ่ายฟุตเทชธรรมดาทั่วไป ตั้งเป็น 60 fps ก็เพียงพอแล้วครับ

จอด้านหลังกล้องเป็นจอ LCD ขนาด 3.2 นิ้ว ทัชสกรีนได้ ความละเอียดของจอจะอยู่ที่ 2.1 ล้านจุด!! ซึ่งชัดมาก และสามารถ Tilt ได้ 3 ทิศทางเลยครับ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพมุมสูง มุมต่ำ หรือที่กำลังเป็นเทรนด์ที่น่าสนใจอยู่ในปัจจุบันก็คือการถ่ายภาพแนวตั้งครับ Lumix S1 ตัวนี้สามารถทำได้สบายมาก

ด้านซ้ายของตัวกล้องจะเป็นพอร์ตสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์สำหรับถ่ายทำทั้งหลายครับ โดยพอร์ตบนสุดจะเป็นพอร์ตสำหรับเสียบรีโมท

ถัดลงมาข้างล่างมีอีก 2 พอร์ต เป็นรูเสียบสำหรับหูฟัง ไมโครโฟน ส่วนพอร์ตข้างล่างจะเป็นรูเสียบ HDMI และ USB ครับ

พลิกมาด้านข้างของฝั่งขวาตัวกล้อง ฝั่งนี้เป็นช่องใส่การ์ด รองรับทั้ง SD card (UHS-II) และ XQD card

 

ฟังก์ชั่นภายในกล้อง

มาดูในส่วนของฟังก์ชั่นของกล้องกันบ้างครับ ประเดิมกันด้วยชิปประมวลผลกันก่อนเลย เจ้า Lumix S1 ตัวนี้ใช้ชิปประมวลผลตัวใหม่ชื่อว่า Venus Engine ที่เป็นหนึ่งในฟังก์ชั่นสุดปังของกล้องตัวนี้เลยครับ ซึ่งชิปตัวนี้จะยกระดับการถ่ายภาพขึ้นไปอีกระดับนึงเลย เพราะเป็นตัวทำให้ฟังก์ชั่นต่างๆในตัวกล้องถูกพัฒนาไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโฟกัส ไว คมชัดมากๆ ไม่พลาดช็อตสำคัญๆแน่นอน ทั้งในส่วนของวิดีโอและภาพนิ่งเลยครับ หรือเรื่องของสีสัน การเก็บรายละเอียดของเงา ดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ

อย่างรูปนี้ดูผิวเผินอาจดูเหมือนปรับตั้งค่าปกติทั่วไป แต่จริงๆรูปนี้แอดดัน ISO ไปถึง 6400 เลย ค่ารูรับแสง f4 ส่วนชัตเตอร์สปีด 1/8000 วินาที จะเห็นว่า ISO สูงกว่าค่าปกติที่ใช้กันไปมาก แต่ภาพยังคม และเก็บทุกรายละเอียดได้ดีเลยครับ

เอาจริงๆรูปนี้ถึงจะดูไม่เหมาะไม่ควรเท่าไหร่ แต่เราได้เห็นความเรียบง่าย ความ urban ของความเป็นเยาวราช ก็เลยกดชัตเตอร์เก็บไว้ซักหน่อย รูปนี้ใช้ f4 ชัตเตอร์สปีด 1/125 วินาที ISO 100 ครับ

ในส่วนของ ISO บ้าง Lumix S1 ตัวนี้สามารถปรับได้สูงสุดอยู่ที่ 51,200 และยังสามารถดันได้สูงสุดถึง 204,800 กันเลย แม้จะถ่ายในโลเกชั่น Low light ก็ไม่หวาดหวั่นสิ่งใดเลย Noise คืออะไร Lumix S1 ไม่รู้จักครับ!

และด้วยความที่ว่าเซ็นเซอร์ของตัว Lumix S1 นี้ มีการเคลือบ AR Coating ทำให้ช่วยลดปัญหาเรื่องของแสงแฟลร์และโกสต์ลงได้อย่างชัดเจนครับ เวลาเราต้องถ่ายย้อนแสง หรือในโลเกชั่นที่แสงจ้ามากๆ และตัวเซ็นเซอร์ยังเป็นแบบไม่มี Low-pass Filter ด้วย ทำให้ภาพที่ได้นั้นสมจริง และคมชัดสุดๆ

รูปนี้ซูมสุดระยะเลย และพอมาปรับเป็นขาวดำแล้ว ก็ดูแปลกไปอีกแบบ เหมือนได้เห็นความ contrast ที่ขัดแย้งกันอยู่ในภาพเดียว ตึกที่โฟกัสนั้นก็ดูเด่นท่ามกลางเงาของต้นไม้รอบๆเฟรมครับ ใช้ ISO-100 f4 ชัตเตอร์สปีด 1/640 วินาทีครับ

พูดถึงความคมชัด มีโหมดนึงที่พลาดไม่ได้อย่างยิ่ง และถูกถอดแบบออกมาจากรุ่นพี่อย่าง Lumix G9 ด้วย นั่นก็คือโหมด High Resolution ครับ เป็นโหมดที่เหมาะกับช่างภาพที่ต้องการความละเอียดสูง เก็บทุกเม็ดสี คมชัดทุกอย่าง เพราะในโหมดนี้จะเป็นการถ่ายภาพทั้งหมด 8 ภาพ (เป็นไฟล์ RAW) และกล้องจะทำการรวมเป็น 1 ภาพ ทำให้ความละเอียดนั้นสูงถึง 96 ล้านพิกเซล!! ไม่ว่าจะงานในสตูดิโอ หรืองานถ่าย outdoor ต้องถ่ายภาพ Landscape โหมดนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด!
*กล้องต้องอยู่บนขาตั้งกล้องที่มั่นคงเท่านั้น ถ้าถือกล้องด้วยมือเปล่า โหมดนี้จะไม่ทำงาน เพราะกล้องไม่นิ่งพอนั่นเอง

 

รูปนี้ใช้ค่า f อยู่ที่ 4 ชัตเตอร์สปีดที่ 1/500 วินาที และ ISO ปกติที่ 100 ครับ

หรือใครที่ไม่ได้ต้องการความละเอียดของงานขนาดโหมด High Resolution ในตัว Lumix S1 ก็มีฟีเจอร์อย่าง 6K photo และ 4K photo ที่ทางค่าย Panasonic ก็ใส่โหมดนี้เข้ามาด้วยครับ โดยการถ่ายแบบ 6K photo จะถ่ายภาพต่อเนื่องที่ 30 เฟรมภาพต่อวินาที และเราสามารถเลือกภาพที่ต้องการได้ มาเซฟเก็บไว้ที่ความละเอียด 18 ล้านพิกเซล ส่วน 4K photo สามารถถ่ายได้ที่ 30 และ 60 เฟรมภาพต่อวินาที แต่ความละเอียดจะถูกลดลงเหลือ 8 ล้านพิกเซลครับ

 

Panasonic Lumix S1 ISO-100 f4 1/250s

 

รูปนี้นอกจากจะเห็น pattern ของโคมเต็งลั้งแล้ว ลองสังเกตุที่ฉากหลังครับ แอดอยากให้เห็นความแตกต่างกันระหว่างตึกแถว 3 แถวที่ตั้งอยู่ติดกัน ที่มีทั้งตึกเก่าดั้งเดิมของย่านเยาวราชและตึกใหม่ที่เป็นกระจกทั้งหมด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นแอดก็อยากให้ดูที่คุณภาพของภาพที่ได้ดว้ยครับ ว่าดีงามแค่ไหน


การถ่ายภาพต่อเนื่อง ในโหมดโฟกัส AF-S เจ้า Lumix S1 สามารถถ่ายได้ 9 เฟรมภาพต่อวินาที หรือถ้าในโหมดโฟกัส AF-C จะสามารถถ่ายได้สูงสุด 6 เฟรมภาพต่อวินาที

โดยถ้าเราตั้งค่าไฟล์ภาพเป็นสกุล RAW กล้องจะสามารถบันทึกภาพได้ทั้งหมด 90 ภาพ และ 70 ภาพ เมื่อตั้งค่าสกุลไฟล์เป็น RAW+JPEG ครับ

Panasonic Lumix S1 ISO-100 f4 1/160s

Panasonic Lumix S1 ISO-100 f4 1/160s

และในตัวกล้องยังมีอีกโหมดหนึ่งที่น่าสนใจอย่าง HLG หรือ Hybrid Log Gamma โดยจะให้ประสิทธิภาพสูงกว่า HDR โดยที่เห็นเด่นๆชัดๆเลยก็คือ ในเรื่องของการเก็บ Dynamic Range ที่กว้างมาก เก็บได้ทุกมุมเลย ยิ่งถ้าเป็นช่างภาพสาย Landscape นี่ปลื้มปริ่มแน่นอน และยังช่วยเกลี่ยในเรื่องของแสง เงาและสีด้วย ไม่ว่าจะเป็นพวกแสงจ้า หรือประกายไฟต่างๆ สีสันก็ให้ความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เสมือนตาเห็นเลยครับ และภาพที่ได้จะอยู่ที่ 5,888 x 3,312 อัตราส่วน 16:9

Panasonic Lumix S1 ISO-100 f4 1/160s

Panasonic Lumix S1 ISO-100 f4 1/125s

 

คุณภาพงานวิดีโอ

เป็นฟังก์ชั่นที่หลายๆคนจับตามองในเรื่องของการถ่ายวิดีโอ และคุณภาพของงานวิดีโอ ทาง Panasonic เขาบอกมาว่าเจ้า Lumix S1 ตัวนี้โดดเด่นมากๆครับ สามารถถ่ายวิดีโอ 4K ได้ที่ 30 เฟรมต่อวินาที แบบไม่ crop เฟรมภาพ และยังเป็นแบบ Full pixel read-out ด้วยครับ หรือถ้าใครอยากถ่ายแบบ 4K 50/60 เฟรมต่อวินาที ก็ได้เหมือนกันครับ แต่ต้อง crop เฟรม 1.5x

พูดถึงเฟรมเรทไปแล้ว จะไม่พูดถึงเรื่องของสีสันไม่ได้ครับ เจ้า Lumix S1สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 4:2:0 8-bit และบันทึกลงใน SD และ XQD card ได้โดยตรงเลยครับ หรือถ้าใครต้องการคุณภาพที่ดีกว่านี้ ต้องต่อ HDMI ถึงจะถ่ายได้คุณภาพ 4K 4:2:2 และในปี 2019 นี้ทาง Panasonic บอกมาว่าจะมีอัพเดทให้เจ้า Lumix S1 สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 50/60 เฟรมต่อวินาที ที่ 4:2:2 10-bit ผ่านสาย HDMI ได้ด้วยครับ
และในส่วนของการถ่ายวิดีโอ Full HD เจ้า Lumix S1 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังจริงๆครับ เพราะสามารถถ่ายวิดีโอ Full HD ได้ที่ 180 เฟรมต่อวินาที!! ซึ่งเหมาะกับการถ่ายแอคชั่นหรือเก็บ Slow motion footage อย่างยิ่ง และนำไปตัดต่อได้สมูธมากๆครับ

 

 

สรุป

ด้วยความที่ Lumix S1 ตัวนี้เป็น S series ตัวล่าสุดที่ทาง Panasonic ได้ปล่อยมา น้ำหนักและขนาดของตัวกล้อง อาจจะใหญ่และหนักไปหน่อยสำหรับตากล้องมือใหม่หรือคนที่จับแต่กล้องตัวเล็กครับ แต่ถ้าใครอยากพัฒนาฝีมือให้ก้าวไปอีกขั้นในเรื่องของการถ่ายภาพ Lumix S1 ตัวนี้ตอบโจทย์ได้ดีแน่นอน คอนเฟอร์มเลยครับ ใครที่ใช้ Lumix G9 มาก่อน นี่แทบจะไม่ต้องเรียนรู้อะไรใหม่เลยครับ เหมือนกับรุ่นพี่ถ่ายทอดวิชาให้รุ่นน้องเลย เพราะการจัดวางปุ่ม ฟีเจอร์บางอย่างในตัวเครื่อง คล้ายกันมากๆ แต่จะได้ประสิทธิภาพของความละเอียดภาพ และงานวิดีโอที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดครับ
ที่ประทับใจที่สุดก็คือตอนเก็บ Footage วิดีโอตอนกลางคืนครับ เพราะจากที่เก็บเคยใช้กล้องตัวอื่นเก็บ Footage มา ดัน ISO ถึง 3200 ก็จะมี Noise ให้เห็นบ้างแล้ว แต่ Lumix S1 ตัวนี้ดันไปสูงถึง 8000 ยังไม่มี Noise ให้เห็นซักจุดเลยครับ ทำให้เก็บ Footage ตอนกลางคืนได้สบายๆแน่นอน และด้วยความที่เป็น Mirrorless เซ็นเซอร์ Full Frame ด้วย ทำให้คุณภาพของงานวิดีโอนั้นดีงามมากๆ ทั้งสี ทั้งความกว้างของเฟรมภาพ จะว่าไปแล้วตอนเก็บภาพนิ่งตอนกลางวันก็ดีงามไม่แพ้กันนะครับ และมีโหมดให้เลือกใช้งานเยอะมากๆ อย่าง High Resolution หรือจะเป็น 6K/4K photo สามารถเลือกใช้ได้หลากหลายสถานการณ์เลย เป็นกล้องที่ไม่ว่าจะถ่ายในสตูดิโอ หรือถ่ายทำโปรดัคชั่นเอ้าท์ดอร์ ระดับภาพยนตร์ ก็เหมาะสมทั้งนั้นครับ

บทความ ก่อนหน้านี้:
บทความ ถัดไป:

หมวดหมู่สินค้า