ใกล้ช่วงเที่ยวหยุดยาวกันแล้ว วันนี้ก็เลยจัดบทความมาเอาใจให้คนที่กำลังเลือกหาขาตั้งกล้องสักตัวมาใช้งานกันอยู่ ว่าจะเลือกขาตั้งกล้องแบบไหนถึงจะเหมาะกับสไตล์การใช้งานของเรา รับรองว่าอ่านบทความนี้จบ จะช่วยให้การเลือกขาตั้งคู่ใจของคุณง่ายขึ้นทันที เพราะวันนี้เราจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับขาตั้งกล้องแบบต่าง ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้กันครับ ไปดูกันครับว่ามีแบบไหนบ้าง แล้วแต่ละแบบเหมาะกับการใช้งานแบบไหน
มาเริ่มกันที่แบบแรก...ขาตั้งกล้องยอดนิยมตลอดกาล นั่นก็คือขาตั้งกล้องแบบ Tripod หรือขาตั้งกล้องแบบสามขานั่นเองครับ ขาตั้งกล้องแบบนี้เป็นแบบที่ช่างภาพส่วนใหญ่เลือกใช้กัน โดยปกติจะใช้เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับการถ่ายภาพ สำหรับในกรณีที่เราต้องใช้สปีดชัตเตอร์ช้า ๆ จนเราและระบบกันสั่นของกล้องไม่สามารถประคองกล้องให้บันทึกภาพได้ด้วยมือเปล่า ซึ่งขาตั้งกล้องแบบ Tripod นี้ก็มีบางรุ่นที่สามารถถอดประกอบเพื่อเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้งานเป็น Monopod ได้ด้วยนะครับ
โดยในปัจจุบัน Tripod จะแบ่งได้สองแบบหลักๆดังต่อไปนี้ครับ
- Tripod : เป็นขาตั้งกล้องแบบสามขาขนาดใหญ่ทั่วไป เหมาะสำหรับใช้งานในที่โล่งที่มีพื้นที่ในการกางขามากพอ มีจุดเด่นที่ความมั่นคงแข็งแรงสูงสุด
- Mini-Tripod : ขาตั้งกล้องแบบสามขาขนาดเล็ก เหมาะสำหรับใช้งานในที่แคบ หรือในสถานที่ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการใช้ขาตั้งแบบ Tripod โดดเด่นที่ความคล่องตัว
ซึ่งขาตั้งกล้องแบบ Tripod นั้นจะมีจุดเด่นที่ความมั่นคงแข็งแรง เพราะมีขาตั้งช่วยกระจายน้ำหนักถึงสามทิศทาง โดย Tripod บางรุ่นจะสามารถกางราบไปกับพื้นได้ด้วย ส่วนบางรุ่นก็จะมีแกนยึดระหว่างขาตั้งทั้งสามขากับท่อแกนกลาง (Center Column) เพื่อเพิ่มความมั่นคง
และที่ส่วนปลายสุดขาของ Tripod บางรุ่นจะสามารถเปลี่ยนปลายขาทั้งสามข้างจากยางรองกันลื่น ให้กลายเป็นขาทรายสำหรับปักลงไปในดินเพื่อเสริมความมั่นคงเมื่อต้องใช้งานบนพื้นดินหรือพื้นทรายได้อีกด้วย
ส่วนทางด้าน Mini-Tripod นั้น นอกจากจะมีรุ่นที่สามารถยืดหดขาได้แล้ว ก็จะมีบางรุ่นที่ขาทั้งสามข้างมีลักษณะเป็นข้อต่อกลม(ขาปลาหมึก)เพื่อให้สามารถดัดงอได้แถมมีปลายขาเป็นแม่เหล็กเพื่อใช้ผูกหรือมัดติดกับเสาโลหะได้อีกด้วย
ซึ่งคุณลักษณะนี้ก็ถือเป็นจุดเด่นของ Mini-Tripod ส่วนมากเลยล่ะครับ เพราะมันเป็นขาตั้งที่ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานในที่แคบ และในสถานที่ที่ไม่เอื้อต่อการใช้งานขาตั้ง Tripod ตามปกติ เน้นหนักไปที่ความคล่องตัวทั้งในแง่ของการใช้งานและการพกพาเป็นหลัก
สรุปได้ว่า สำหรับขาตั้งกล้องแบบ Tripod นั้นเป็นขาตั้งที่เหมาะสำหรับงานที่สมบุกสมบันเน้นลุย หรืองานที่ต้องการความมั่นคงมาก ๆ จากการลากสปีดชัตเตอร์ต่ำ ๆ เช่น การถ่ายภาพดาวหมุน ทางช้างเผือก หรือการถ่ายภาพเส้นแสงไฟ โดยไม่ได้เน้นความคล่องตัวในการโยกย้ายเท่าไหร่นักนั่นเองครับ เพราะลงถ้าได้กางแล้วล่ะก็ การจะย้ายจะโยกแต่ละทีนี่นับว่าค่อนข้างลำบากพอดูเลยล่ะ
ส่วน Mini-Tripod ก็จะใช้ในงานที่ต้องใช้พื้นที่น้อย เช่น การใช้ทำไลฟ์สตรีมมิ่ง การตั้งกล้องบนโต๊ะ หรือในสถานการณ์ที่มีพื้นที่ไม่พอให้สามารถใช้ขาตั้ง Tripod ได้สะดวก เป็นต้น
ถัดมาที่ขาตั้ง Monopod หรือขาตั้งแบบขาเดี่ยว เป็นขาตั้งกล้องที่มีจุดเด่นที่ความคล่องตัวสูงสามารถโยกย้ายได้ง่ายกว่าแบบสามขา แต่แน่นอนครับเนื่องจากมันมีแค่ขาเดียวจึงไม่สามารถให้ความมั่นคงเทียบเท่ากับ Tripod ได้ ถึงแม้ว่าบางรุ่นจะมีฐานช่วยพยุงตัวที่ปลายขาแบบที่สามารถกางออกไปได้คล้าย ๆ Tripod แต่เราก็ยังต้องใช้มือประคองช่วยแทบจะตลอดเวลาอยู่ดี เพราะจุดศูนย์ถ่วงมันมีพื้นที่น้อยกว่า เจอลมแรง ๆ หรือใครเดินมาเตะมาชนก็อาจหงายเงิบเอาได้ง่าย ๆ
และแม้ว่าการใช้ขาตั้งแบบ Monopod จะต้องเสี่ยงต่อความมั่นคงของการกล้องมากกว่าแบบสามขา แต่ในแง่ของความคล่องตัวแล้วบอกเลยว่ากินกันขาดหลุดลุ่ย เราก็เลยเห็นช่างภาพหลายคนใช้ขาตั้งกล้องแบบ Monopod เป็นขาตั้งกล้องประจำมือในการถ่ายภาพงาน Event ต่าง ๆ กันมากมาย แถมบางครั้งตากล้องสาย Wild-Life ยังเอาไปคอมโบรวมร่างกับขาตั้งแบบสามขา เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้กับการซุ่มถ่ายภาพสัตว์ และเพื่อกระจายน้ำหนักไม่ไห้เมาท์กล้องต้องแบกภาระน้ำหนักมากจนเกินไปอีกด้วยครับ
วัสดุขาตั้งกล้อง
พูดถึงประเภทของขาตั้งกล้องกันไปแล้ว ทีนี้มาพูดถึงเรื่องวัสดุกันบ้าง โดยปกติแล้ววัสดุที่ใช้ในการทำขาตั้งกล้องในปัจจุบันจะมี 2 ประเภทด้วยกัน ก็คือ อลูมิเนียมและคาร์บอนไฟเบอร์
ขาตั้งกล้องอลูมิเนียม จะได้เปรียบในเรื่องของความมั่นคง เพราะมีน้ำหนักค่อนข้างมากกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นที่เป็นคาร์บอนไฟเบอร์ ทำให้เมื่อต้องเจอกับลมแรง ๆ หรือแรงสั่นสะเทือนในระดับเดียวกัน ขาตั้งกล้องที่ทำจากอลูมิเนียมจะมีศูนย์ถ่วงที่ดีกว่านั่นเองครับ
ส่วนขาตั้งกล้องที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ก็จะมีจุดเด่นที่ความเบา ทำให้ง่ายต่อการพกพา และมีความคล่องตัวมากกว่าขาตั้งกล้องแบบที่ทำจากอลูมิเนียม
ระบบล็อคข้อต่อขาตั้งกล้อง
มาต่อกันที่ระบบล็อคของขาตั้งกันครับ ระบบล็อคของขาตั้งจะมี 2 แบบหลักๆคือ แบบหมุนและแบบบานพับ โดยที่ขาตั้งแบบล็อคบานพับจะได้เปรียบในเรื่องความคล่องตัวด้านการใช้งาน เพราะสามารถยืดหดพับเก็บได้ง่าย ๆ เพียงแค่บิดบานพับเท่านั้น แถมยังมองเห็นแล้วรู้เลยว่าล็อคเข้าที่รึยังไม่ต้องลุ้นเหมือนแบบหมุนล็อค
ส่วนขาตั้งแบบหมุนล็อคนั้นส่วนมากมักจะมีน้ำหนักที่เบากว่า และเนื่องจากใช้การหมุนล็อคเพื่อยืดหดข้อขาจึงไม่เกิดปัญหาตัวล็อคไปเกาะเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ทำให้พกพาบุกลุยได้คล่องตัวกว่าตามไปด้วย แต่แน่นอนครับเนื่องจากใช้การหมุนล็อค บางทีมือใหม่ ๆ ใช้ยังไม่คล่องก็อาจหมุนไม่แน่นหรือหมุนผิดทิศจนทำให้ขารูดพากล้องลงมานอนกองที่พื้นได้ง่ายๆเช่นกัน แต่ถ้าใช้คล่องแล้วล่ะก็...บอกเลยว่าฟลิปล็อคก็ฟลิปล็อคเถอะ
จำนวนท่อนขา หรือ Tripod Section
Tripod Section หรือ จำนวนท่อนขาของขาตั้งกล้อง ซึ่งก็อาจจะมีมากมีน้อยต่างกันไประหว่าง 3-5 ท่อน โดยปกติแล้วท่อนขาของขาตั้งกล้องจะสามารถยืดออกเพื่อใช้งานหรือหดเข้ามาเพื่อพับเก็บได้ ขาตั้งที่มีจำนวนท่อนขาเยอะ(หลายท่อน)ก็จะยิ่งทำให้หดได้สั้นมากขึ้น
ทำให้การพกพาไปไหนมาไหนก็จะสะดวกมากขึ้นไปด้วย แต่แน่นอนครับว่าความมั่นคงก็จะต้องน้อยลงไปด้วยเมื่อกางยืดสุด เพราะข้อขาท่อนสุดท้ายจะค่อนข้างบาง ทำให้ความมั่นคงในการรับน้ำหนักน้อยลงนั่นเอง
หัวขาตั้งกล้อง
สุดท้ายกับส่วนสำคัญอีกส่วนนึงของขาตั้งกล้องที่จะไม่พูดถึงเลยไม่ได้ นั่นก็คือหัวขาตั้งนั่นเองครับ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 3 แบบตามลักษณะการทำงาน คือ แบบหัวบอล, แบบหัวแพน และ Clamp
ซึ่งหัวขาตั้งแบบหัวบอลนั้นจะเน้นการใช้งานที่คล่องตัวเป็นหลัก เพราะสามารถปรับหมุนหัวได้รอบทิศทางแถมยังปรับเอียงได้อย่างอิสระ ทำให้ปรับเปลี่ยนระนาบการวางมุมกล้องได้อย่างรวดเร็วทันใจ และคล่องมือยิ่งนัก เป็นหัวขาตั้งที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน
ส่วนหัวขาตั้งแบบหัวแพนจะเน้นการใช้งานแบบประณีตเป็นหลัก เพราะมีรูปแบบการบังคับปรับเปลี่ยนการวางมุมกล้องเป็นแนวระนาบ 2 ทิศทาง คือ ก้ม/เงยและซ้าย/ขวา ซึ่งแม้จะใช้งานได้ไม่คล่องตัวนัก แต่ด้วยความสามารถในการแพนกล้องเป็นแนวระนาบเดียวกันที่โคตรเนียน
จึงทำให้หัวขาตั้งแบบหัวแพนเหมาะกับงานวีดีโอหรืองานภาพนิ่งพาโนรามาที่ต้องการการวางแนวระนาบที่ตั้งตรงเป็นแนวเดียวกัน เพราะมีรูปร่างที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับการแพนกล้องโดยเฉพาะ ด้วยก้านแพน (หรือคันบังคับ) สำหรับให้เราจับถือเพื่อเพิ่มความมั่นคงถนัดมือตอนกำลังแพนกล้องนั่นเอง
สุดท้ายคือ Clamp หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า Smartphone-Clamp หรือ Clamp-Holder หน้าที่ของมันคือเป็นหัวล็อคสำหรับหนีบล็อคสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเพื่อนำไปต่อคอมโบเข้ากับขาตั้งกล้อง ไม้กันสั่นกิมบอล หรือไม้เซลฟี่ เพื่อใช้ทำคอนเทนท์ต่าง ๆ ต่อไปนั่นเองครับ แน่นอนว่าโดยส่วนมากก็มักจะถูกจับคู่กับขาตั้ง Mini-Tripod นั่นล่ะครับ
เอาล่ะครับมาถึงตรงนี้แล้ว ทีนี้ก็อยู่ที่เราแล้วล่ะครับว่าจะเลือกใช้งานขาตั้งแบบไหนให้เหมาะกับแต่ละสถานการณ์ ซึ่งเอาจริง ๆ มันไม่แปลกเลยนะที่เราจะมีขาตั้งกล้องเฉพาะทางแบบใดแบบหนึ่ง หรือมีขาตั้งกล้องทุกแบบทุกหัวไว้ในครอบครองเพื่อใช้งานตามแต่ละสถานการณ์ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเราควรเลือกขาตั้งกล้องโดยคำนวณความสามารถในการรองรับน้ำหนักของอุปกรณ์เราเอาไว้ให้ดี ๆ
เพราะถ้าเราเลือกขาตั้งที่เล็กเกินไปจนมันรองรับน้ำหนักอุปกรณ์ของเราไว้ไม่ไหวแล้วล่ะก็ กล้องร่วงลงมาสักทีคงได้ร้องไห้กันเลยล่ะครับ อย่าลืมว่าอุปกรณ์ราคาหลักหมื่นของเราต้องถูกเอามาฝากไว้บนขาตั้งกล้องที่เราเลือกซื้อมา เพราะฉะนั้นเลือกดูตรงนี้ให้ดี ซึ่งโดยปกติก็จะมีเขียนบอกไว้ที่ข้างกล่องขาตั้งให้เห็นกันจะ ๆ เลยครับ
และสุดท้ายที่จะลืมไม่ได้เลย คือเวลาจะใช้ขาตั้งกล้องก็อย่าลืมปิดระบบกันสั่นกันด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นระบบกันสั่นมันจะทำการขยับเซ็นเซอร์กล้องหรือชิ้นแก้วในกระบอกเลนส์ เพื่อตรวจสอบหาแรงสั่นจนกลายเป็นทำให้เกิดการสั่นไหวในภาพจากการทำงานของระบบกันสั่นเสียเอง
เอาล่ะครับ สำหรับวันนี้ก็จบกันไปอีกบทความ พวกเราชาว BIG CAMERA ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกขาตั้งกล้องแบบไหนมาใช้กันอยู่พอดี ส่วนวันนี้ก็ขอลากันไปก่อน แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ
แอบกระซิบให้นิดนึงใครที่สนใจอยากได้ขาตั้งกล้องแต่ไม่อยากเลือกเองหรืออยากได้คำแนะนำเพิ่มเติม เรามีบริการช่วยแนะนำให้ที่ร้าน BIG CAMERA กว่า 160 สาขาทั่วประเทศด้วยนะครับ
*ร่วมลุ้น!! ทริป Fashion Photography Workshop สุด Exclusive ณ ประเทศจอร์เจีย 8 วัน 5 คืน กับ "มาตาลดา" เต้ย-จรินทร์พร จุนเกียรติ ร่วมด้วย จอร์จ ธาดา วารีช และกอล์ฟ-กันตพัฒน์ พฤฒิธรรมกูล แห่งเพจ กอล์ฟมาเยือน
ทุก ๆ 3,000.- รับคูปอง 1 ใบ วันนี้ ถึง 15 มกราคม 2567 รายละเอียดเพิ่มเติม
*เฉพาะสินค้าที่ร่วมรายการ
ที่ BIG Camera ทุกสาขา
• สยามพารากอน ชั้น 2 โทร 0-2129-4763
• เซ็นทรัลเวิลด์ ชั้น 4 โทร 0-2646-1080
• เซ็นทรัล ลาดพร้าว ชั้น 3 โทร 0-2937-1763
• เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ ชั้น 3 โทร 0-5328-8917
• ดิ เอ็มควอเทียร์ ชั้น 3 โทร 0-2003-6536
• แฟชั่น ไอซ์แลนด์ โทร 0-2004-8688
• ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต ชั้น 3 โทร 0-2958-0908
• ฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิต ชั้น 2 โทร 0-2958-0059
• ฟอร์จูน ทาวน์ โทร 0-2641-0710
• เซ็นทรัล เฟสติวัล หาดใหญ่ โทร 0-7433-9957
• เซ็นทรัล พลาซา ชลบุรี โทร 0-3805-3594
• เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยา บีช โทร 0-3804-3354
• เซ็นทรัล พลาซา ขอนแก่น โทร 0-4328-8104
• เซ็นทรัลเวสต์เกต บางใหญ่ โทร 0-2004-3554
• เซ็นทรัล พระราม2 โทร 0-2415-5774
• เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า โทร 0-2884-8804
• เมกา บางนา โทร 0-2105-1680
• เอ็มบีเคเซ็นเตอร์ มาบุญครอง โทร 0-2853-3503, 0-2048-4682
และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกว่า 160 สาขาทั่วประเทศ ได้ที่ สาขา BIG Camera
**พิเศษกว่าใคร! บริการ LIVE PRO SET ไลฟ์สดให้ปัง แบบเพจดัง พิเศษ! จัด Set Live Streming, สอนและอบรมออนไลน์, Vdo Content และ Vlog พร้อมติดตั้งระบบฟรีและแนะนำการใช้งานแบบครบวงจร จัดทั้งกล้องและอุปกรณ์ถึงบ้านทั่วประเทศ โดยเหล่า Product Specialist มืออาชีพ จาก BIG Camera รายละเอียดเพิ่มเติม
#BIGCamera ศูนย์รวมกล้องดิจิตอลที่มีความสุขให้เลือกมากที่สุด
ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้า สอบถามข้อมูล หรือ ติดตามข่าวสารหรือโปรโมชั่นใหม่ๆ ของทางเราได้ที่นี่
Website : https://www.bigcamera.co.th/
Facebook : https://www.facebook.com/BIGCAMERACLUB